‘สันติ’ เปิดปาก ยันบริสุทธิ์ แฉใครฆ่า 4 ศพ ลงมือสุดทารุณ ยอมเป็นนกต่อ ไม่งั้นก็ตาย อ้างผู้ตายไปพัวพันแก๊งมาเฟีย ติดหนี้ 10 ล้าน รู้สึกผิดที่ลวงไปถูกฆ่า
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายสันติ ได้ก่อเหตุฆ่าสองสามีภรรยาชาวไทย ที่บริเวณสำนักงานของ นายสันติ ในเขตถู่เฉิง เมืองชินเปย ไต้หวัน จากนั้น นายสันติ ได้นำร่างของผู้ตายใส่ไว้ในรถยนต์ของผู้ตาย แล้วจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถบริเวณเขตถูเฉิง เมืองซินเปย ไต้หวัน ก่อนหลบหนีไป
จากการตรวจสอบเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.00 น. นายสันติ ได้เดินทางเข้ามาที่ประเทศไทยผ่านทางสนามบินสุวรรณภูมิ และเดินทางโดยเครื่องบินต่อไปยัง จ.เชียงใหม่ ในวันเดียวกัน จากนั้นได้ประสานกับทางการไต้หวันเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและออกหมายจับ กระทั่งวันที่ 17 มิ.ย.ตำรวจกองปราบปราม ได้รับการติดต่อจาก นายสุชาติ ศุภอภิรดีไพลิน พ่อของ นายสันติ เพื่อนำตัว นายสันติ เข้ามอบตัว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวน นายสันติ ยังให้การภาคเสธโดยอ้างว่า ไม่ได้ลงมือก่อเหตุแต่ได้พาดพิงไปยังบุคคลอื่น ซึ่งยังไม่สามาารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี ซึ่งหากมีความจำเป็น ก็อาจต้องให้พนักงานสอบสวนประสานกับตำรวจไต้หวันเพื่อสอบสวนเพิ่มเติม ในกรอบระยะเวลา 84 วัน ก่อนสรุปสำนวนและมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการพิจารณา
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวน นายสันติ ยังให้การภาคเสธโดยอ้างว่า ไม่ได้ลงมือก่อเหตุแต่ได้พาดพิงไปยังบุคคลอื่น ซึ่งยังไม่สามาารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี ซึ่งหากมีความจำเป็น ก็อาจต้องให้พนักงานสอบสวนประสานกับตำรวจไต้หวันเพื่อสอบสวนเพิ่มเติม ในกรอบระยะเวลา 84 วัน ก่อนสรุปสำนวนและมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการพิจารณา
ส่วนกรณีที่ผู้ตายตั้งครรภ์ลูกแฝด จะเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาได้รับโทษหนักขึ้นหรือไม่นั้น พนักงานสอบสวนจะบรรยายพฤติกรรมทางคดีอย่างละเอียดเพื่อชี้ให้ศาลเห็นการกระทำและพิจารณาลงโทษผู้ต้องหา อย่างไรก็ตาม ในชั้นนี้ยังไม่สามารถดำเนินคดีเรื่องการอำพรางศพได้ เนื่องจากเหตุเกิดขึ้นที่ไต้หวัน โดยพนักงานสอบสวนกองปราบปรามจะดำเนินคดีเฉพาะในส่วนของข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้ถือเป็นความผิดต่อชีวิต ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เป็นกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นคนไทย และต่อมาบิดาของผู้ตาย ซึ่งเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย ได้ร้องขอให้ลงโทษผู้ต้องหา จากความผิดดังกล่าว นายสันติ จะต้องได้รับโทษในราชอาณาจักร ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 (ก) วรรคสอง (4) ดังนั้นคดีดังกล่าวจำต้องชำระคดีที่ศาลไทย ไม่จำเป็นต้องส่งตัวผู้ต้องหาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังที่เกิดเหตุ
ทั้งนี้มีรายงานโดย นายสันติ เปิดเผยว่า ขอให้การภาคเสธอ้างว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.พจนีย์ และ นายประเสริฐ ได้พาตนไปแนะนำให้รู้จักกับแก๊งมาเฟียไต้หวันกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าตนจะเป็นคนดูแลประสานงานต่างๆ จึงอยากให้รู้จักกันไว้ จากนั้นไม่นานทราบว่าผู้ตายกับกลุ่มมาเฟียดังกล่าวเริ่มมีปัญหาทะเลาะขัดแย้งกัน เกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่ผู้ตายติดค้างกว่า 10 ล้านบาท ทราบว่า ทางกลุ่มมาเฟียเคยทวงถามหลายครั้ง แต่ผู้ตายยังนิ่งเฉย จนกระทั่งเข้าวันที่ 8 มิ.ย. กลุ่มมาเฟียจึงส่งคนมาหาตนยังที่ทำงาน ก่อนบังคับให้ติดต่อล่อลวงผู้ตายทั้งสองมาพบโดยให้ตนทำทีเป็นอ้างว่ามีธุระจะคุยด้วย
นายสันติ ให้การต่อว่า ช่วงแรกนัดเจอกันประมาณ 19.00 น. แต่ตอนนั้น ผู้ตายติดธุระ จึงเลื่อนมาพบตอนประมาณ 22.00 น. ขณะนั้นกลุ่มมาเฟียได้ส่งชายฉกรรจ์สวมหมวกไอ้โม่งปิดบังใบหน้ามาเฝ้ารออยู่ด้วย 7 คน เมื่อผู้ตายมาถึงชายฉกรรจ์ 2 คน ก็พาตนกับผู้ตายทั้งสองเข้าไปในห้อง ส่วนชายฉกรรจ์ที่เหลืออีก 5 คน พร้อมอาวุธปืนยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้อง หลังการเจรจาผ่านไปสักระยะสถานการณ์ภายในห้องก็เริ่มตรึงเครียดมากขึ้น
ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะเริ่มลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกาย น.ส.พจนีย์ โดยใช้ของแข็งคล้ายท่อนเหล็กห่อด้วยกระดาษทุบตี น.ส.พจนีย์ จนล้มลง ขณะที่ นายประเสริฐ ก็พยายามเข้าช่วย จึงถูกตีจนล้มลงไปกองกับพื้นอีกคน ตนเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามเข้าห้ามปราม ทำให้ถูกตีเข้าที่แขนได้รับบาดเจ็บไปด้วย อีกทั้งยังถูกข่มขู่ห้ามเข้ามายุ่ง ไม่อย่างนั้นจะถูกฆ่าตายไปด้วย จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสองจึงลงมือกระหน่ำตีทั้งคู่จนเสียชีวิต
นายสันติ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นกลุ่มคนร้ายก็ช่วยกันยกศพไปใส่ไว้ในรถ แล้วบังคับให้ตนขับรถนำศพไปทิ้งตามแผนการที่วางไว้ เพื่อให้ตนเป็นแพะรับบาปในคดีแทน หากไม่ทำตามจะฆ่าตนและตามไปฆ่าแฟนสาวของตนด้วย จึงเกิดความหวาดกลัวยอมทำตาม โดยขับรถวนไปมาบนทางด่วนอยู่นาน ก่อนตัดสินใจจอดรถที่มีศพอยู่ภายในทิ้งไว้ที่ลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้า แล้วเดินออกมาที่โล่ง เพื่อให้กล้องวงจรปิดจับภาพของตนได้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง เสร็จแล้วก็รีบจองตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งเดิมตั้งใจไว้ว่าจะกลับวันที่ 23 มิ.ย. แต่กลัวหากยังอยู่ต่ออาจจะไม่ปลอดภัย เมื่อพ้นอันตรายแล้วก็รีบโทรศัพท์ไปบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง พร้อมกับบอกสถานที่จุดทิ้งศพ เพื่อให้แจ้งตำรวจมาตรวจสอบด้วย
นายสันติ กล่าวด้วยว่า ถึงตอนนี้ยังคงยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ ดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือแฝง บนหลักฐานต่างๆ สามารถพิสูจน์ได้ แต่ยอมรับว่ารู้สึกผิดที่เป็นคนลวงให้ผู้ตายมาถูกฆ่า เพระส่วนตัวแล้วก็นับถือรักและเคารพผู้ตายดั่งผู้มีพระคุณเหมือนกับพี่สาวคนหนึ่ง ที่ผ่านมามีปัญหาอะไรเขาให้ความช่วยเหลือตลอด มีแค่ระยะหลังที่เริ่มห่างกันเพราะมารู้ว่าเขาทำธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งตนก็ไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันว่าผู้ตายไปพัวพันหนือรู้จักกับแก๊งยาเสพติดหรือมาเฟียเหล่านี้ได้อย่างไร รู้เพียงว่าสาเหตุที่ผู้ตายไปขัดแย้งกับมาเฟีย เป็นเรื่องที่มาจากหนี้สินที่ติดค้างเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาทนั้นเอง ที่ตนไม่กล้าแจ้งความเองนั้นเพราะรู้ดีว่ามาเฟียกลุ่มนี้เป็นผู้มีอิทธิพล เกรงจะไม่ได้รับความปลอดภัยด้วย