เป็นเรื่องที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเมื่อดาวเคราะห์น้อยกว้างราว 12 กิโลเมตรซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับภูเขาเอเวอเรสต์ พุ่งชนดินแดนที่เป็นอ่าวเม็กซิโกในปัจจุบัน ก็ทำให้ไดโนเสาร์ที่ไม่ใช่นกทั้งหมด บนโลกถูกกวาดล้าง ออกไปจนสูญสิ้นพันธุ์ เมื่อ 66 ล้านปีก่อน
เมื่อเร็วๆนี้มีทีมวิจัยนำโดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อโรเบิร์ต เดอพัลมา จากมหา วิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ อ้างว่าพวกเขาได้พบซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ถูกธรรมชาติเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ในแหล่งฟอสซิลทานิส รัฐนอร์ท ดาโกตา สหรัฐอเมริกา ทีมคิดว่าไดโนเสาร์ตัวนี้ล้มตายไปเมื่อดาวเคราะห์น้อยขนาดยักษ์ดังกล่าวพุ่งตกกระทบโลกจนเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ซากฟอสซิลนี้ระบุว่าเป็นขาของไดโนเสาร์เธสเซโรซอรัส (Thescelosaurus) ที่มีผิวหนังเป็นเกล็ดซึ่งสามารถย้อนไปถึงเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในช่วง 66 ล้านปีก่อนได้ เนื่องจากมีเศษซากจากการชน อีกทั้งยังพบหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนั้นก็คือการพบอนุภาคเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายแก้วในหินหลอมเหลวที่ติดอยู่ในเหงือกของซากปลาดึกดำบรรพ์ที่พบในแหล่งฟอสซิลทานิสเช่นกัน โดยคิดว่าถูกกระแทกจากแรงระเบิดของดาวเคราะห์น้อยนั่นเอง
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์เผยว่า เธสเซโรซอรัสมาจากกลุ่มไดโนเสาร์ที่ไม่เคยมีประวัติว่าผิวหนังของมันเป็นอย่างไร แต่ฟอสซิลขาชิ้นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสัตว์เหล่านี้มีเกล็ดเหมือนกิ้งก่ามาก และไม่มีขนเหมือนสัตว์ในสมัยนั้นที่กินเนื้อเป็นอาหาร.